ภาษา เป็นระบบการสื่อสารที่มนุษย์ใช้ในการติดต่อกัน โดยธรรมชาติแล้วภาษาเป็นเสียงเป็นการพูด เป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างไปจากสัตว์โลกอื่นๆ ทั้งปวง ไม่มีสัตว์โลกอื่นใดอีกที่สามารถใช้ภาษาได้ในลักษณะเดียวกับมนุษย์ ภาษาเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดที่มนุษย์ใช้พัฒนาตัวเองความเจริญและอารยธรรมต่างๆ เกิดขึ้นมาได้ก็เพราะมนุษย์มีภาษาใช้เป็นเครื่องมือทั้งสิ้น ภาษาทำให้มนุษย์สามารถคิด วิเคราะห์ แยกแยะสิ่งต่างๆ สร้างจินตนาการ หาเหตุผล ให้เหตุผลและแสดงอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ให้ผู้อื่นรับทราบได้ ถ้าเราไม่มีภาษา การคิดหรือการคิดค้นใดๆ ก็คงมีขึ้นไม่ได้ และเราคงไม่มีศาสนา การปกครอง วรรณกรรม ปรัชญา และศิลปะต่างๆ ดังที่เรามีอยู่ในทุกวันนี้ ภาษาเป็นของคู่กับสังคมมนุษย์ ที่ใดมีสังคม ที่นั่นย่อมต้องมีภาษาใช้ มนุษย์ในสังคมต้องใช้ภาษาเป็นสื่อกลางสำหรับติดต่อกันในทุกๆด้าน คนที่เป็นเพื่อนกันใช้ภาษาคุยกัน คนที่ทำงานด้วยกันใช้ภาษาเป็นสื่อกลางในการทำงานคนที่เป็นพ่อแม่ใช้ภาษาสั่งสอนลูกคุยกับลูก คนที่เป็นลูกใช้ภาษาเพื่อเข้าใจ แสดงความคิดเห็นความต้องการ คนที่เป็นครูอาจารย์ใช้ภาษาถ่ายทอดความรู้และวิชาการต่างๆ ฯลฯ เหล่านี้เห็นได้ว่า การใช้ภาษาต้องมีสองฝ่ายหรือสองคนขึ้นไปเสมอ ภาษาจึงเป็นเรื่องของสังคมด้วย เด็กไทยที่เกิดในสังคมไทยเมื่อหัดพูดภาษาไทยนั้น นอกจากเรียนออกเสียงพูดให้ชัด ใช้คำใช้ประโยคให้ถูกเหมือนภาษาไทยของผู้ใหญ่แล้ว ในขณะเดียวกันก็เรียนรู้ไปด้วยว่าจะพูดอะไร กับใคร เมื่อใดและพูดอย่างไร ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต่างกันไปตามแต่ละภาษา ในแง่หนึ่งภาษาจึงเปรียบเสมือนแหล่งรวมพฤติกรรมและประสบการณ์ต่างๆ ของชีวิตในแต่ละสังคม และการหัดพูดหรือการเรียนรู้ภาษาของเด็กจึงเป็นการเรียนรู้ถึงชีวิตและประสบการณ์ต่างๆ ในชีวิตของสังคมนั้นๆ ไปด้วย ในฐานะเป็นแหล่งรวมพฤติกรรมและประสบการณ์ต่างๆ ของชีวิตของคนในสังคมภาษาทำหน้าที่เสมือนบันทึกของสังคมด้วย สิ่งใดที่เคยปรากฏมีในสังคม ที่คนในสังคมเคยกล่าวถึงหรือเคยมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องด้วย สิ่งนั้นก็มีปรากฏเป็นคำใช้อยู่ในภาษา จากคำในภาษาไทยที่เป็นมรดกตกทอดกันมานานนับพันปีนั้น เราสามารถมองเห็นลักษณะของสังคมของคนไทยโบราณได้หลายแง่มุม เช่น คำว่า นา ข้าว ไถ หว่าน เกี่ยวบอกให้ทราบว่าคนไทยสมัยโบราณทำนาข้าว คำเรียกชื่อสัตว์และพืชบางอย่าง เช่น เสือ ลิง ช้าง กล้วย อ้อย งา บอกให้ทราบว่าสังคมไทยโบราณอยู่ในเขตที่มีอากาศร้อน คำเรียกชื่อของใช้บางอย่างและคำบอกกิริยาอาการบางอย่าง บอกให้ทราบว่ามีกิจกรรมอะไรในสังคมโบราณ เช่น เรือ ถ่อ ไหม ทอ บอกให้ทราบว่าสังคมไทยโบราณอยู่ใกล้แหล่งน้ำ มีการใช้เรือเป็นพาหนะ และมีการทอผ้า เป็นต้น ฯลฯ เนื่องจากภาษาและสังคมมีความใกล้ชิดกันมากดังได้กล่าวมาแล้วนั้น เมื่อสังคมมีการเปลี่ยนแปลง ภาษาก็เปลี่ยนตามไปด้วย เมื่อคนไทยแยกย้ายกันไปอยู่ตามที่ต่างๆ กัน และแต่ละถิ่นมีสภาพแวดล้อมที่ต่างกันไป การเปลี่ยนแปลงของภาษาในแต่ละแห่งก็ต่างกันไปด้วย คนไทยที่ไปอยู่ใกล้ทะเล ก็มีคำว่า "ทะเล" ใช้เพิ่มขึ้น ในภาษากลุ่มที่ไปอยู่ในแหล่งที่มีอากาศหนาวจนน้ำค้างกลายเป็นน้ำแข็งก็มีคำว่า "เหมย" ใช้ ถิ่นที่ไม่มีสภาพแวดล้อมดังกล่าว ก็ไม่มีคำบอกสภาพแวดล้อมใหม่ใช้ นอกจากนี้กลุ่มคนที่ใช้ภาษาอื่นที่อยู่ใกล้เคียงกัน ก็มีอิทธิพลทำให้ภาษาไทยแต่ละแห่งเปลี่ยนแปลงต่างกันไปด้วย เช่น คนไทยที่อยู่ใกล้ชิดกับคนพูดภาษาเขมรก็รับคำภาษาเขมรมาใช้ส่วนคนไทยที่อยู่ใกล้ชิดกับภาษาจีนก็ยืมคำจากภาษาจีนไปใช้ กลุ่มคนไทยที่รับวิทยาการความรู้และเทคโนโลยีจากผู้ที่ใช้ภาษาอังกฤษก็รับคำภาษาอังกฤษเข้ามาใช้พร้อมๆ กับวิทยาการความรู้เหล่านั้น ทำให้มีคำศัพท์และการใช้ภาษาที่แตกต่างไปจากภาษาของกลุ่มคนไทยที่ไม่ได้รับอิทธิพลจากภาษาอังกฤษ การเปลี่ยนแปลงในลักษณะดังกล่าว ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเองในภาษาแต่ละแห่ง ทำให้ภาษาไทยที่เป็นมรดกตกทอดมาจากสมัยโบราณแตกต่างกันไปตามถิ่นต่างๆ ในประเทศไทยภาษาที่ใช้พูดในถิ่นทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคกลาง ก็แตกต่างกันทั้งการออกเสียงและการใช้คำศัพท์ สิ่งที่บอกให้รู้ได้ว่าเป็นภาษาไทยเหมือนกัน คือคำศัพท์ที่เป็นมรดกตกทอดมาแต่โบราณซึ่งมีจำนวนนับได้เป็นพันคำ ได้แก่ คำพื้นๆ ที่ใช้ทั่วไปในชีวิตประจำวันในสังคมโบราณที่ยังไม่เปลี่ยนไปในสังคมปัจจุบัน เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง นา ไถ เสือ หมา บ้าน หนึ่ง สอง สาม เจ็ด สิบ กิน นอน คิด ฝัน รัก ได้ ไม่ มา ไป หัว ปาก ตา ผี สี ใหญ่ บาง ยาว ฯลฯ